กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กลไกสำคัญในการตรึงราคาดีเซลในช่วงที่ตลาดโลกผันผวน
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าประเทศไทยเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ เพราะความต้องการใช้ในประเทศมีมากกว่าน้ำมันดิบที่ผลิตได้ในประเทศ เราจึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบมากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปเพื่อจำหน่าย ให้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศเสียก่อน และหากมีน้ำมันส่วนเกินเหลือ จึงจะส่งส่วนที่เกินจากการใช้ในประเทศออกไปยังประเทศอื่น ๆ ที่มีความต้องการ ดังนั้น ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลง จึงส่งผลกระทบต่อต้นทุนของโรงกลั่นน้ำมันและบริษัทผู้ค้าน้ำมันในประเทศและสะท้อนผ่านมาถึงราคาขายปลีกในประเทศด้วย ภาครัฐได้มีนโยบายกำหนดเพดานราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 32 บาทต่อลิตร เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้าและค่าเดินทาง ส่วนกลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์นั้น รัฐปล่อยให้บริษัทผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขึ้น-ลงได้ เพื่อให้สะท้อนตามต้นทุนของราคาตลาดโลก อย่างไรก็ตามในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากกรณีสหรัฐ ฯ ประกาศคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซีย เพื่อกดดันให้ยุติสงครามยูเครน ส่งผลให้บริษัทพลังงานในจีนและอินเดียต่างลดการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าว หากรัฐไม่มีกลไกเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ บริษัทผู้ค้าน้ำมันก็จะต้องมีการทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกที่สถานีบริการน้ำมันเพื่อให้สะท้อนตามต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นด้วย แต่เนื่องจากภาครัฐมีกลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ภายใต้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 24 ต.ค. ได้มีมติให้นำเงินจากกองทุนน้ำมัน ฯ เข้ามาช่วยพยุงราคาเอาไว้ก่อน โดยในส่วนของน้ำมันดีเซลนั้น ให้ลดการนำเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันลง 70 สตางค์ต่อลิตร และกลุ่มเบนซิน ลดเงินนำส่ง 50 สตางค์ต่อลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกทั้งกลุ่มน้ำมันดีเซลและกลุ่มเบนซิน ไม่ต้องปรับขึ้นราคาตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของตลาดโลก ทั้งนี้ ตลอดเดือนตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา […]
