หากเปรียบประเทศไทยเป็นเหมือนรถยนต์ที่วิ่งอยู่ร่วมกับประเทศอื่น ๆ บนถนนสายหลัก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งหมายถึงภาวะสมดุลระหว่างปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมากับปริมาณที่ถูกกำจัดออกจากชั้นบรรยากาศ จะเห็นว่าไทยเรากำลังเหยียบคันเร่งเพื่อวิ่งให้เร็วเท่ากับประเทศพัฒนาหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งตั้งเป้าว่าจะไปให้ถึงจุดหมายได้ภายในปี ค.ศ. 2050 โดยหลายโครงการที่จะมีส่วนช่วยให้ไทยไปได้เร็วขึ้นนั้น อยู่ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ด้านพลังงานของรัฐบาล ที่มีนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นหลักในการขับเคลื่อนให้มีความชัดเจนภายในระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติหน้าที่ช่วงปลายเดือนกันยายน 2568 ที่ผ่านมา
โดยภายใต้นโยบาย Quick Big Win ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ โครงการโซลาร์ภาคประชาชน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรม และการสร้างความยั่งยืนระยะยาวรองรับ Net Zero 2050 โดยเห็นภาพชัดว่าล้วนเป็นโครงการที่มุ่งเป้าปรับลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Decarbonization เพราะประเมินกันว่าหากโครงการทั้งหมดสำเร็จตามแผนจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 10 ล้านตันคาร์บอนฯ ต่อปี ซึ่งโครงการที่สำคัญได้แก่
1) โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ ประเมินว่าช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฯ ได้กว่า 0.80 ล้านตันคาร์บอนฯ ต่อปี
2) โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร กำหนดเป้าหมายติดตั้ง 1,200 ระบบ ครอบคลุมพื้นที่ 7 แสนไร่ มีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้ 87.5 เมกะวัตต์ สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ได้ 0.06 ล้านตันคาร์บอนฯ ต่อปี
3) การเร่งรัดมาตรการลดหย่อนภาษีโซลาร์เซลล์ โดยผู้ที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์จะได้รับการลดหย่อนภาษีได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 2 แสนบาทต่อครัวเรือน มีเป้าหมายผู้เข้าร่วม 9 หมื่นครัวเรือน คาดว่าลดคาร์บอนฯ ได้ 0.28 ล้านตันคาร์บอนฯ ต่อปี
4) โครงการโซลาร์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลักของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยมีศักยภาพกำลังผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นเขื่อนภูมิพล 778 เมกะวัตต์ เขื่อนศรีนครินทร์ 770 เมกะวัตต์ และเขื่อนวชิราลงกรณ 90 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฯ ได้ 0.82 ล้านตันคาร์บอนฯ ต่อปี นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ที่ถือเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มกักเก็บก๊าซคาร์บอน ฯ ได้ภายในปี 2577 และระหว่างปี 2577 ถึงปี 2607 (30 ปี) จะสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนฯ ได้ 6.4 ล้านตันต่อปี
ซึ่งความคืบหน้าล่าสุดในส่วนของโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์และโครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้นำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการแล้ว โดยในส่วนของโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน นั้น กพช.ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ไปพิจารณาแนวทางและหลักเกณฑ์เพื่อออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าแล้ว ในขณะที่ โครงการโซลาร์ลอยน้ำ ของ กฟผ.นั้น เมื่อวันที่ 25-26 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายอรรถพล ก็ลงพื้นที่เขื่อนศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เขื่อนที่จะมีการดำเนินการตามนโยบาย แล้วด้วยเช่นกัน

โฟกัสลงไปที่โครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริด ซึ่งนับว่าเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ Decarbonization อย่างมีนัยสำคัญ และสอดคล้องกับหลักการ 3 ด้าน หรือ Energy Trilemma ของกระทรวงพลังงาน คือ สร้างความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) เป็นพลังงานที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ (Energy Economy ) เพราะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุน และ เป็นพลังงานที่คาร์บอนต่ำ เพื่อให้ไทยเดินหน้าสู่เป้าหมายการปรับลดคาร์บอนในระดับโลก (Environmental Sustainability)

ในภาพรวมของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Revision 1) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้มีการบรรจุโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเอาไว้รวม 16 โครงการ กำลังผลิตรวม 2,725เมกะวัตต์ ในพื้นที่เขื่อน 9 แห่ง ของ กฟผ. ซึ่งน่าติดตามต่อว่าการจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ ที่ กพช. มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 สั่งเดินหน้าแล้ว โดยตั้งคณะอนุกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบาย (กบง.) ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน
โครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำทั้งหมดจะถูกยกมาใส่ไว้ในแผนหรือไม่ เพื่อชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ประกาศ Net Zero 2050 ไปแล้วลงมือทำจริง กับเรื่อง Decarbonization
ที่มา : https://www.energynewscenter.com

