ในการเดินหน้าประเทศไทยไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2065 ตามที่ประกาศเอาไว้ในเวทีโลก พลังงานไฮโดรเจน ถูกจัดวางให้เป็นอีกหนึ่งพลังงานทางเลือกสำคัญที่จะช่วยตอบโจทย์เป้าหมายดังกล่าว โดยในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศฉบับใหม่ หรือ แผนพีดีพี ที่กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการจัดทำนั้น มีการระบุไว้ให้โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงต้องผสมไฮโดรเจนในสัดส่วน 5 % ของปริมาณที่ใช้ด้วย โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2030 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้เกิดความต้องการ (Demand) การใช้ไฮโดรเจนเชิงพาณิชย์ขึ้นภายในประเทศ
มาทำความรู้จักกับ “ไฮโดรเจน” กันก่อนว่าไฮโดรเจนมีดีอย่างไร ภาครัฐจึงเตรียมความพร้อมที่จะมีนโยบายการส่งเสริมให้ใช้เชิงพาณิชย์ในอนาคต
ไฮโดรเจน ถือเป็นธาตุที่เบาที่สุดซึ่งมักรวมอยู่ในโมเลกุลของสารประกอบอื่นๆ เช่น สารประกอบจําพวกไฮโดรคาร์บอน (HC) มีคุณสมบัติทั่วไป คือ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ติดไฟง่าย ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงเป็นพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การนำไฮโดรเจนมาใช้ประโยชน์ โดยเป็นเชื้อเพลิงที่เผาไหม้และให้ความร้อนในโรงไฟฟ้าหรือนำไปใช้ในรูปแบบเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้านั้น หลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อังกฤษ ญี่ปุ่น ฯลฯ ได้มีการวิจัยและพัฒนากันอย่างแพร่หลาย โดยหวังว่า ไฮโดรเจน จะเป็นพลังงานทางเลือกในอนาคตที่สำคัญที่จะมาทดแทนพลังงานจากฟอสซิล ช่วยปลดล็อคปัญหาสภาวะโลกร้อนที่มีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากขึ้นได้

และเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำถึงการนำไฮโดรเจนมาใช้ประโยชน์ในทางสากลได้ จึงมีการจำแนกไฮโดรเจนออกเป็นสีต่างๆ ตามกระบวนการในการผลิต ที่สำคัญคือ ไฮโดรเจนสีเทา (Grey Hydrogen) ที่เป็นการผลิตโดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหิน ซึ่งจุดด้อยของไฮโดรเจนสีเทาคือในกระบวนการผลิตจะมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สู่ชั้นบรรยากาศ ถัดมาคือ ไฮโดรเจนสีน้ำเงิน (Blue Hydrogen) ซึ่งมีกระบวนการผลิตเช่นเดียวกับไฮโดรเจนสีเทา แต่แตกต่างกันตรงที่จะมีการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS : Carbon Capture and Storage) ที่ถูกปล่อยออกมาเอาไว้ และไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) คือ ไฮโดรเจนที่ผลิตขึ้นมาโดยใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาด เช่น พลังงานลม หรือ แสงอาทิตย์ โดยจะจ่ายกระแสไฟฟ้าในกระบวนการแยกน้ำ (H2O) เป็นไฮโดรเจน (H2) และออกซิเจน (O2) ที่เรียกว่า Electrolysis
ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน (Energy Transition) จากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เราคุ้นเคยทั้งถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ไปสู่พลังงานสะอาดที่ไม่มีการปล่อยคาร์บอนตามเทรนด์โลก ดังนั้น เพื่อให้ประเทศก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ไฮโดรเจนจึงเป็นพลังงานแห่งอนาคต ที่จะต้องติดตามดูการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การกำหนดนโยบายการส่งเสริมและการกำกับดูแลให้มีการใช้ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยทำได้ในจังหวะที่เหมาะสม ทั้งในแง่ของต้นทุนราคาที่ไม่สร้างภาระต่อค่าไฟฟ้าและการเป็นแหล่งพลังงานสะอาดทางเลือกที่จะมาช่วยเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
ที่มา : https://www.energynewscenter.com
