หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2567 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะต้องยกเลิกการอุดหนุนเชื้อเพลิงชีวภาพหลังจากได้ขยายระยะเวลาดำเนินการจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพออกไป 2 ปี เหตุผลของการอุดหนุนนี้เพื่อจูงใจให้เกิดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ (ไบโอดีเซล และเอทานอล) โดยอาศัยกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีก และเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้จากการขายพืชผลทางการเกษตร อาทิ ปาล์มน้ำมัน อ้อย มันสำปะหลัง
บทบาทอีกด้านหนึ่งของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 ในบทเฉพาะกาลมาตรา 55 คือการลดการจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพภายใน 3 ปีหลังจากกฎหมายบังคับใช้ หรือภายในวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2565 แต่สามารถขยายเวลาต่อได้อีกไม่เกิน 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 2 ปี และได้ขยายระยะเวลาครั้งแรกไปแล้ว และจะสิ้นสุดระยะเวลาในวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2567 หรือในปีหน้า ซึ่งเมื่อใกล้ถึงระยะเวลาดังกล่าวคงจะต้องมีการพิจารณาสถานการณ์ของเชื้อเพลิงชีวภาพว่ามีทิศทางอย่างไร
ในระหว่างนี้ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้ติดตามข้อมูลของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพเพื่อประเมินสถานการณ์และดูความพร้อมของภาคอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพหากต้องยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพว่ามีศักยภาพในการปรับตัวมากน้อยเพียงใด โดยจากการได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ผลิตไบโอดีเซลและเอทานอล ได้เห็นแนวโน้มว่าอุตสาหกรรมไบโอดีเซลที่ใช้ผลผลิตทางการเกษตรจากปาล์มน้ำมันเป็นวัตถุดิบหลักยังพัฒนาต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ ได้ไม่หลากหลายนัก โดยยังคงพึ่งพิงนโยบายและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นหลัก ทั้งจากนโยบายพลังงานทดแทน มาตรการเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเข้ามาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับปาล์มน้ำมันมากขึ้น ในขณะที่อุตสาหกรรมเอทานอลถือว่ามีศักยภาพพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมได้หลากหลายกว่า อาทิ อุตสาหกรรมไบโอพลาสติก ยาและเครื่องสำอาง การใช้งานเอทานอลเป็นเกรดเชื้อเพลิงอุตสาหกรรมการบิน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศขณะนี้ยังอยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัว จึงมีแนวโน้ม ที่มีความจำเป็นต้องขยายเวลาการชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมเชื้อเพลิงชีวภาพออกไปอีก เพื่อยืดเวลาให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ปรับตัว โดยกองทุนน้ำมันฯ ยังคงต้องทำหน้าที่เป็นกลไกในการพยุงราคาพืชผลการเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่ราคาจะตกต่ำมาตลอด เป็นการช่วยให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น และส่งเสริมเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อไปก่อน เพราะถึงอย่างไรเสียก็ยังมีระยะเวลารอคอยได้อีกครั้งหนึ่งหลังวันที่ 24 กันยายน 2569
ที่มา : https://www.energynewscenter.com